2007年6月24日日曜日
2007年6月22日金曜日
อำเภอเมืองแพร่
จังหวัดแพร่
วัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ เก่าแก่ คู่บ้าน คู่เมืองจังหวัดแพร่และเป็นวัดพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีขาล
วัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง ตั้งอยู่เลขที่ 1 หมู่ที่ 11 ถนนช่อแฮ ตำบลช่อแฮ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ บนเนื้อที่ 175 ไร่ บุคคลใดที่มาเที่ยวจังหวัดแพร่แล้วจะต้องมานมัสการพระธาตุช่อแฮ เพื่อเป็นศิริมงคลกับตนเอง จนมีคำกล่าวว่า ถ้ามาเที่ยวจังหวัดแพร่ แต่ไม่ได้มานมัสการพระธาตุช่อแฮเหมือนไม่ได้มาจังหวัดแพร่แพร่ การเดินทางมาเที่ยววัดพระธาตุช่อแฮ ถนนสา�! ��หลัก คือ ถนนช่อแฮ เริ่มตั้งแต่สี่แยกบ้านทุ่ง อำเภอเมืองแพร่ ซึ่งเป็นสี่แยกใจกลางเมืองแพร่ เข้าสู่ถนนช่อแฮ และตรงไปตามถนนช่อแฮ ผ่านโรงพยาบาลแพร่ สนามบินจังหวัดแพร่ หมู่บ้านเหล่า หมู่บ้านนาจักร หมู่บ้านแต หมู่บ้านมุ้ง สถานที่ตั้งของวัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง อยู่ในบริเวณเขตเทศบาลตำบลช่อแฮ ด้วยระยะทาง 9 กิโลเมตร จากตัวเมืองจังหวัดแพร่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกวัดพระธาตุช่อแฮ ตำบลช่อแฮ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2549 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับทั่วไป เล่ม 123 ตอนที่ 96 ง วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 (พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้มวลสารจากพระธาตุช่อแฮ ทำพระสมเด็จจิตรลดา
สารบัญ
ทิศเหนือ ติดต่อ หมู่บ้าน หมู่ที่ 11 บ้านใหม่ช่อแฮ
ทิศใต้ ติดต่อ หมู่บ้าน หมู่ที่ 1 บ้านมุ้ง
ทิศตะวันออก ติดต่อ หมู่บ้าน หมู่ที่ 6 บ้านใน
ทิศตะวันตก ติดต่อ สวนรุกขชาติช่อแฮ
อาณาเขตวัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง
วัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง เป็นวัดที่ตั้งอยู่เนินเขาเตี้ย สูงประมาณ 28 เมตร องค์พระธาตุช่อแฮ เป็นเจดีย์พุกามรูปแปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ศิลปะแบบเชียงแสน บุด้วยทองดอกบวบสูง 33 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 11 เมตร ลักษณะองค์พระธาตุตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยม 1 ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานหน้ากระดานแปดเหลี่ยม 3 ชั้นรองรับ ถัดไปเป็นฐานบัวคว่ำและชุดท้องไ! ม้แปดเหลี่ยม ซ้อนลดชั้นกันขึ้นไป 7 ชั้น จากนั้นเป็นบัวระฆัง 1 ชั้น และหน้ากระดานหนึ่งชั้น จนถึงองค์ระฆังแปดเหลี่ยม ถัดขึ้นไปเป็นบัลลังค์ย่อมุมไม้สิบสองและปล้องไฉน ส่วนยอดฉัตรประดับตกแต่งด้วยเครื่องบนแบบล้านนา หุ้มด้วยทองจังโก้ตลอดทั้งองค์ มีรั้วเหล็กรอบองค์พระธาตุ 4 ทิศ มีประตูเข้าออก 4 ประตู แต่ละประตูได้สร้างซุ้มแบบปราสาทล้านนาไว้อย่างสวยงา! ม
ลักษณะสถาปัตยกรรม
พระธาตุช่อแฮมีตำนานประวัติความเป็นมากล่าวไว้หลายทางด้วยกัน ดังนี้
ประวัติ
จากพระราชพงศาวดารว่าด้วยกรุงสุโขทัย หอสมุดแห่งชาติ กล่าวถึงวัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวงว่า สร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 1879-1881 ในสมัยที่พระมหาธรรมราชา(ลิไท) ยังทรงเป็นพระมหาอุปราชซึ่งครองเมืองศรีสัชนาลัย (สวรรคโลก) อยู่ในครั้งนั้น พระองค์แก่ประชาชนและทรงโปรดให้สร้างสถานที่ทางศาสนาที่ทางศาสนาตามที่ปรากฏในพุทธประวัติในที่ต่าง ๆ และเลือกยอดดอยโกสิยธชัคค�! �� เพื่อเป็นที่สร้างพระเจดีย์พระธาตุช่อแฮ
ตามตำนานกล่าวว่า พระมหาราชาลิไทพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุแก่ ขุนลัวะอ้ายก้อมให้นำมาบรรจุไว้ในฐานเจดีย์ เมื่อขุนลัวะอ้ายก้อมมาถึงบริเวณดอยโกสิยธชัคคะเห็นว่าทำเลดีจึงสร้างเจดีย์ขึ้น และนำผอบพระบรมสารีริกธาตุบรรจุบรรจุไว้ในสิงห์ทองคำสร้างแท่นที่ตั้งผอบด้วยเงินและทอง แล้วตั้งสิงห์ทองคำไว้ โดยโบกปูนทับอีกชั้นหนึ่ง หลังจากนั้นก็จัดงานบำเพ�! ��ญกุศลเฉลิมฉลอง 7 วัน 7 คืน ภายหลังเมืองแพร่ถูกรวมเข้ากับอาณาจักรล้านนาไทยกษัตริย์ล้านนาก็ทรงได้ทะนุบำรุงพระธาตุช่อแฮตามลำดับ จนกระทั่งราชวงศ์นี้หมดอำนาจลง พระธาตุช่อแฮก็ทรุดโทรมเป็นอันมากจนล่วงมาถึง พ.ศ. 2467 พระครูบาศรีวิชัย (หรือตุ๊เจ้าวัดบ้านปางจังหวัดลำพูน) ได้เป็นประธานบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดแพร่ และมีพระมหาเมธังกร (พร�! ��ม พรหมเทโว) อดีตเจ้าคณะจ� �งหวัดแพร่ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในการบูรณปฏิสังขรณ์ จนทำให้พระธาตุช่อแฮกลับมามีความงดงาม และเป็นแหล่งเชิดหน้าชูตาของจังหวัดแพร่ และเป็นแหล่งเชิดหน้าชูตาของจังหวัดแพร่
พระธาตุช่อแฮสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าลิไท แห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งอยู่ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ หัวหน้าชนชาวละว้าได้สร้างองค์พระธาตุสูง ๓๓ เมตร ฐานเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง กว้างด้านละสิบเมตร องค์พระธาตุ บุด้วยทองดอกบวบ เป็นศิลปแบบเชียงแสน ภายในบรรจุพระเกศธาตุ
จากพระราชพงศาวดารว่าด้วยกรุงสุโขทัย
พระธาตุช่อแฮ มีตำนานประวัติความเป็นมา กล่าวไว้หลายทางดังนี้ 1.จากพระราชพงศาวดารว่าด้วยกรุงสุโขทัย หอสมุดแห่งชาติ กล่าวถึงวัดพระธาตุช่อแฮว่า สร้างขึ้นระหว่างจุลศักราช 586 - 588 (พ.ศ. 1879 - 1881) ในสมัยที่พระมหาธรรมราชาธิราช (ลิไท) ยังทรงเป็นพระมหาอุปราช พระราชบิดาโปรดพระราชทานให้ไปครองเมืองศรีสัชนาลัย (สวรรคโลก) พระองค์มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงสั่งสอน�! ��ีลธรรมแก่ประชาชนและทรงวางแบบแผนคณะสงฆ์ตามลังกาทวีป โปรดจัดให้มีพระสงฆ์ 2 ฝ่าย คือ คามวาสี ศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อสั่งสอนคน และอรัญญวาสี ศึกษาวิปัสสนา มุ่งความสงบแห่งจิตใจ
นอกจากนั้นยังทรงทะนุบำรุงพระพุทธศานาโดยโปรดให้สร้างสถานที่ทางศาสนาตามที่ปรากฏในพุทธประวัติในที่ต่างๆและทางเลือกสถานที่ยอดดอยโกสิยธชัคคะจึงโปรดให้สร้างพระเจดีย์ 1 องค์ และขนานนามตามความหมายของยอดดอยว่า "พระธาตุช่อแฮ" ตำนานเมืองสุโขทัยกล่าวถึงความตอนนี้ว่า พระมหาธรรมราชาลิไท พระราชทาน พระบรมสารีริกธาตุแก่ขุนลัวะอ้ายก้อม นำไปบรรจุไว้ในฐาน�! �จดีย์ที่สร้างให้คนทั้งหลายกราบไหว้แทนพระพุทธองค์ ฝ่ายขุนลัวะอ้ายก้อมได้ชักชวนหัวเมืองต่างๆได้มาร่วมกันสร้างพระเจดีย์ โดยช่วยกันสำรวจสถานที่ที่จะสร้าง เมื่อขุนลัวะอ้ายก้อมมาถึงบริเวณดอยโกสิยธชัคคะเห็นเป็นทำเลดีเหมาะสมจึงให้สร้างพระเจดีย์ขึ้น ขุนลัวะอ้ายก้อมเอาผอบพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ในสิงห์ทองคำสร้างแท่นที่ตั้งผอบด้วยเงินและทอ�! �แล้วตั้งสิงห์ทองคำไว้ ใ� �้โบกปูนทับอีกชั้นหนึ่ง หลังจากนั้นก็จัดงานบำเพ็ญกุศลเฉลิมฉลอง 7 วัน 7 คืน ในเวลาต่อมาเมืองแพร่ได้เข้ามารวมอยู่ในอาณาจักรลานนาไทยเมื่อ พ.ศ. 1986 กษัตริย์ลานนาก็ได้ทรงทะนุบำรุงเสริมสร้างพระธาตุช่อแฮมาโดยลำดับ
จนกระทั่งราชวงศ์นี้หมดอำนาจลง มิได้เป็นใหญ่ในล้านนาแล้ว พระธาตุช่อแฮก็ทรุดโทรมปรักหักพังลงเป็นอันมาก ล่วงมาจนถึง พ.ศ. 2467 ครูบาศรีวิชัย (หรือตุ๊เจ้าวัดบ้านปาง จังหวัดลำพูน) นักบุญแห่งลานนาได้มาเป็นประธานบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุ ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดแพร่ ประชาชนชาวจังหวัดแพร่ ซึ่งมี พระมหาเมธังกร (พรหม พฺรหฺมเทโว) อดีตเจ้าคณะจังหวัดแพร่ โดยรื้อเอา�! �องจังโกออกแล้วเสริมสร้างองค์พระเจดีย์ให้มีขนาดกว้างและสูงขึ้น โดยกว้าง 11 เมตร สูง 33 เมตร โดยรอบองค์พระธาตุมีลำเวียง หรือรั้วเหล็กล้อมรอบหนาแน่น มีประตูเข้า ออก 4 ประตู อยู่ทิศละประตูแต่ละประตูมีซุ้มสลักลวดลายอย่างงดงาม
ตำนานการสร้างวัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวงอีกจากข้อมูลประชาสัมพันธ์ของทางวัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง
ตำนานพระธาตุช่อแฮอีกทางหนึ่ง กล่าวถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ได้เสด็จมาถึงเมืองพล (เมืองแพร่) ประทับ ณ ดอยโกสิยธชัคคะบรรต ขณะนั้นเจ้าลาวนามว่า ขุนลั๊วะอ้ายก้อม ได้มากราบไหว้พระพุทธเจ้าที่ดอยนี้ พระพุทธเจ้าได้แสดงปาฏิหารย์ให้ขุนลั๊วะอ้ายก้อมเห็นและประทานพระบรมสารีริกธาตุ(พระเกศาธาตุ)เป็นที่ระลึก โดยเอาเส้นผมพระเกศาเส้นหนึ่งให้แก่ขุนล�! �๊วะอ้ายก้อมแล้วรับสั่งให้เอาไปไว้ในถ้ำที่อยู่ใกล้ ๆ และรับสั่งอีกว่าเมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพานไปแล้ว ให้เอาพระบรมสารีริกธาตุพระข้อศอกข้างซ้าย มาบรรจุไว้ ณ สถานที่นี้ และเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพานไปแล้ว 218 ปี สมเด็จพระเจ้าอโศกมหาราชและพระอรหันต์ทั้งปวงได้ร่วมอธิษฐาน อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุในโกศที่เตรียมไว้นั้น ให! ้ไปสถิตย์อยู่ในสถานที่ซ� ��่งพระพุทธเจ้าได้ทรงตั้งไว้ เมื่อสิ้นคำอธิษฐานพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายก็เสด็จออกจากโกศ โดยทางอากาศไปตั้งอยู่ที่แห่งนั้น ๆ ทุกแห่ง ส่วนพระบรมสารีริกธาตุที่เหลืออยู่ พระอรหันต์ทั้งปวงก็อัญเชิญไปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เหลืออยู่ พระอรหันต์ทั้งปวงก็อัญเชิญไปบรรจุในเจดีย์ 84,000 องค์นั้น แล้วประกาศแก่เทวดาทั้งหลายให้พิทักษ์รักษาตลอดไป จนกว่าห�! ��ดอายุแห่งพระพุทธศาสนา 5,000 พระวัสสา
ตำนานพระธาตุช่อแฮอีกจากข้อมูลประชาสัมพันธ์ของทางวัดพระธาตุช่อแฮ
พระธาตุช่อแฮ พระธาตุประจำปีเกิดปีเสือ (ปีขาล) พระธาตุช่อแฮ เป็นพระธาตุ1 ใน12 ราศี คือ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดสำหรับคนที่เกิดปีเสือ (ปีขาล) หากนำผ้าแพรสามสีไปถวายจะทำให้ชีวิตมีพลังคุ้มครองป้องกันศัตรูได้ การสวดและไหว้ ให้เริ่มต้นนะโม 3 จบ แล้วสวดตามด้วยคาถาบูชาพระธาตุ 5 จบ พลังบารมีจะดลบันดาลให้มีชีวิตที่ดีขึ้น พระธาตุช่อแฮ หมายถึง เจดีย์บรรจุพระบรม�! �ารีริกธาตุพระศอกซ้ายและพระเกศาธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและประดับบูชาด้วยผ้าแพรอย่างดี
ลักษณะองค์พระธาตุ เป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ย่อมุมไม้สิบสองศิลปะแบบเชียงแสนสูง 33 เมตร ฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 11 เมตร สร้างด้วยอิฐโบกปูน หุ้มด้วยแผ่นทองเหลืองลงรักปิดทอง
พระธาตุช่อแฮ เป็นพระธาตุ 1 ใน 12 ราศี คือเป็นพระธาตุประจำปีเกิดสำหรับคนที่เกิดปีขาล หากนำผ้าแพรเนื้อดีไปถวายสักการะองค์พระธาตุช่อแฮ จะทำให้ชีวิตมีความผาสุข มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต หน้าที่การงาน และมีพลังคุ้มครองป้องกันศัตรูได้
เป็นพระประธานประดิษฐานในพระอุโบสถ ศิลปะล้านนา เชียงแสน สุโขทัย สันนิฐานว่า สร้างขึ้นหลังจากสร้างองค์พระธาตุช่อแฮแล้ว มีอายุหลายร้อยปี หน้าตักกว้าง 3.80 เมตร สูง 4.50 เมตร ก่อสร้างด้วยอิฐโบกปูน ลงรักปิดทอง
พระเจ้าทันใจหรือหลวงพ่อทันใจ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิปูนปั้น ลงรักปิดทอง หน้าตักกว้าง 30 นิ้ว สูงประมาณ 2 ศอก (กว้าง 80 ซม. สูง 1.20 ซม) เป็นพระพุทธรูปองค์ใหม่ที่สร้างขี้นเมื่อปี พ.ศ. 2465 ผู้สร้างคือ ชาวไทยใหญ่ (เงี้ยว) สร้างพระพุทธรูปองค์นี้แทนพระพุทธรูปองค์เดิมที่หล่อด้วยจืน (ตะกั่ว) ที่ถูกลักไป พระเจ้าทันใจหรือหลวงพ่อทันใจ (ทางเหนืออ่านว่า พระเจ้าตันใจ๋) เป็น�! �ระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้นิยมมากราบไหว้ บนบานศาลกล่าวอยู่เสมอ เชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปที่ใครมาขอพรแล้ว จะได้สิ่งนั้นอย่างสมประสงค์ ด้านหลังซุ้มพระเจ้าทันใจประดิษฐานอยู่ มีไม้เสี่ยงทายทำด้วยไม้รวก หรือไม้สัก มีความยาวเกิน 1 วา คาดว่าใช้แทนไม้เซียมซี เมื่อผู้ใดต้องการเสี่ยงทายสิ่งใด ก็จะนำไม้ดังกล่าวมาทาบกับช่วงแขนที่กางเหยียดตรงไปจนสุ�! �แขนทั้งสองข้าง ความยาวข� �งวาอยู่ตรงจุดใดของไม้ก็จะ ทำเครื่องหมายไว้แล้วนำไม้มาอธิษฐานเบื้องหน้าพระเจ้าทันใจว่า สิ่งที่ตนประสงค์นั้นจะสำเร็จหรือไม่ หากสำเร็จก็ขอให้ความยาวของตนเลยจุดที่ทำเครื่องหมายไว้ออกไป เมื่ออธิฐานเสร็จแล้ว ก็นำไม้เสี่ยงทายขึ้นมาวาอีกครั้งหนึ่ง
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ(ว่า 3 จบ)
นะโม นะมะ สะขัง โกธะมัง ใจจะคุ (ว่า 3 จบ)
เป็นพระพุทธรูปปางพระนาคปรก ประดิษฐานอยู่ในวิหารศิลปะลานนาประยุกต์ ภายในมีภาพจิตกรรมฝาผนังอย่างสวยงาม สร้างขึ้นในปี 2534 โดยมีเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร ป.ธ.9) เป็นประธานเททองหล่อและเบิกพระเนตร องค์พระขนาดหน้าตักกว้าง 3.60 เมตร สูง 7 เมตร สร้างด้วยโลหะทองเหลือง ลงรักปิดทอง
สร้างด้วยไม้สักทอง หน้าตักกว้าง 33 นิ้ว สูง 87 นิ้ว เป็นศิลปสมัยลานนา
เป็นพระพุทธรูปที่ชาวจังหวัดแพร่เคารพนับถือ ก่อนจะขึ้นไหว้องค์พระธาตุช่อแฮ ชาวบ้านมักจะแวะไหว้พระเจ้านอนก่อนเสมอ สร้าง เมื่อขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เหนือ พ.ศ. 2459 เป็นพระเจ้านอนศิลปะพม่า ขนาดยาว 3.70 เมตร สูง 1.35 เมตร ก่อสร้างด้วยอิฐโบกปูน ลงรักปิดทอง
ธรรมมาสน์โบราณ มีความสวยงามวิจิตรบรรจง ลวดลายไทยผสมศิลปะทางล้านนา ซึ่งมีนางแก้ว ทองถิ่น สร้างอุทิศให้ นายคลอง ทองถิ่น เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2492 ก่อสร้างด้วยไม้สักแกะสลัก ลงรักปิดทอง
บรรจุอัฐิธาตุส่วนที่ 5 จากจำนวน 7 ส่วนของครูบาศรีวิชัย สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกบุญคุณที่ท่านได้ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา
ภายในวัดพระธาตุช่อแฮมีบันไดนาค อยู่ 4 ด้าน และบันไดสิงห์ 1 ด้าน รวม 5 บันได ซึ่งล้วนมีความยาวและจำนวนขั้นไม่เท่ากัน
มีความเชื่อว่า นาคที่เฝ้าบันไดกุมภัณฑ์ ด้านทิศตะวันออกขององค์พระธาตุช่อแฮ ชอบหนีออกไปเล่นน้ำที่ลำน้ำแม่สาย หมู่บ้านในเป็นประจำ ชาวบ้านจึงสร้างเจ้ากุมภัณฑ์ นั่งทับขดหางนาคไว้ เพื่อมิให้หนีไปเล่นน้ำอีก
ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าพระเจ้าทันใจ จารึกเรื่องราวการสร้างบันไดด้านทิศตะวันตก
ตั้งอยู่ที่ดินของวัด มีพื้นที่ 52 ไร่ เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจและศึกษาพันธุ์ไม้ มีต้นไม้นานาพันธุ์กว่า 1,000 ชนิด
พระธาตุช่อแฮ พระธาตุประจำปีเกิดขาล
คำไหว้พระธาตุช่อแฮ
หลวงพ่อช่อแฮ
พระเจ้าทันใจและไม้เสี่ยงทาย
คำไหว้หลวงพ่อทันใจหรือพระเจ้าทันใจ
พระพุทธโลกนารถบพิตร และวิหารศิลปะล้านนาประยุกต์
พระเจ้าไม้สัก
พระเจ้านอน
ธรรมมาสน์โบราณ
กรุอัฐิครูบาศรีวิชัย
บันไดนาคโบราณ
เจ้ากุมภัณฑ์
แผ่นศิลาจารึก
สวนรุกขชาติช่อแฮ
มวลสารที่นำมาจากพระธาตุช่อแฮ ใช้สร้าง พระสมเด็จจิตรลดา
สิ่งสำคัญภายในวัด
หลังจากพระยาลิไท ได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดพระธาตุช่อแฮแล้ว ได้โปรดให้มีงานฉลองสมโภช 5 วัน 5 คืน ระหว่างวันขึ้น 11 ค่ำ ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เหนือ เดือน 4 ใต้ ซึ่งอยู่ระหว่างในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ต้นเดือนมีนาคมของทุกปี นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเจ้าผู้ครองนครแพร่ทุกองค์จึงได้ยึดถือประเพณีไหว้พระธาตุประจำปี สืบมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ประเพณีไหว้พระธาตุ
มวลสารวัตถุจากโบราณสถาน และโบราณวัตถุในที่นี้ รัชกาลที่ ๙ ได้นำมาเป็นส่วนประกอบในการทำพระสมเด็จจิตรลดา
2007年6月17日日曜日
ไตรภูมิพระร่วง เรียกกันในหลาย ๆ ชื่อ ทั้ง ไตรภูมิพระร่วง เตภูมิกถา และไตรภูมิกถา (ฉบับราชบัณฑิตยสถานใช้ "ไตรภูมิกถา") เป็นวรรณคดีพุทธศาสนาที่แต่งในสมัยสุโขทัยประมาณปี พ.ศ. 1882 โดย พระยาลิไทย ซึ่งรวบรวมจากคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา มีเนื้อหาเกี่ยวกับโลกสันฐานที่แบ่งเป็น 3 ส่วน หรือ ไตรภูมิ ได้แก่ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ
วรรณคดีเรื่องนี้มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคติความเชื่อของไทยเป็นจำนวนมาก อาทิ เรื่อง นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด ทวีปทั้งสี่ (เช่น ชมพูทวีป ฯลฯ) ระยะเวากัปปกัลป์ กลียุค การล้างโลก พระศรีอาริย์ มหาจักรพรรดิราช แก้ว 7 ประการ ฯลฯ
ไตรภูมิกถาหรือ ไตรภูมิพระร่วงมีการแบ่งเนื้อหาในแต่ละบทแต่ละตอน ดังนี้
วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับไตรภูมิ นอกจากนี้ เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉัย เรื่องเล่าจากไตรภูมิ สมุดภาพไตรภูมิ ฯลฯ
นรกภูมิ
ติรัจฉานภูมิ
เปรตภูมิ
อสุรกายภูมิ
มนุสสภูมิ
ฉกามาพจรภูมิ
รูปาวจรภูมิ
อรูปาวจรภูมิ
อวินิโภครูป
กัลปวินาศและอุบัติ
นิพพานกถา
ยุทธหัตถี หรือ การชนช้าง (Elephant Duel) คือการทำสงครามบนหลังช้างตามประเพณีโบราณของกษัตริย์ในภูมิภาคอุษาคเนย์ เป็นการทำสงครามซึ่งถือว่ามีเกียรติยศ เพราะช้างถือเป็นสัตว์ใหญ่ และเป็นการปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ผู้แพ้จะถึงแก่ชีวิตได้
การกระทำยุทธหัตถีเป็นประเพณีสงครามที่รับมาจากอินเดีย โดยช้างที่ใช้ เรียกว่า " ช้างศึก " โดยมากจะนิยมเลือกใช้ช้างพลายที่กำลังตกมัน ดุร้าย ก่อนออกทำสงครามจะกรอกเหล้าเพื่อให้ช้างเมา เกิดความฮึกเหิมเต็มที่ โดยจะแต่งช้างให้พร้อมในการรบ เช่น ใส่เกราะที่งวงหรืองาเพื่อรื้อทำลายค่ายคูของฝ่ายตรงข้าม เรียกว่า " ช้างกระทืบโรง " หรือล่ามโซ่หรือหนามแหลมที�! �เท้าทั้งสี่ ใช้ผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดตาช้างให้เห็นแต่เฉพาะด้านหน้าเพื่อไม่ให้ช้างตกใจและเสียสมาธิ เรียกว่า " ผ้าหน้าราหู "
ตำแหน่งของผู้ที่นั่งบนหลังช้างจะมีด้วยกัน 3 คน คือ ตำแหน่งบนคอช้าง จะเป็นผู้ทำการต่อสู้ โดยอาวุธที่ใช้สู้ส่วนมากจะเป็นง้าว ตำแหน่งกลางช้าง จะเป็นตำแหน่งที่จะให้สัญญาณและส่งอาวุธที่อยู่บนสับคับให้แก่คอช้าง โดยอาวุธได้แก่ ง้าว, หอก, โตมร, หอกซัด และเครื่องป้องกันต่าง ๆ เช่น โล่ห์ เป็นต้น และตำแหน่งควาญช้างซึ่งจะเป็นผู้บังคับช้างจะนั่งอยู่หลังสุด! และหากเป็นช้างทรงของพระมหากษัตริย์ จะมีทหารฝีมือดี 4 คนประจำตำแหน่งเท้าช้างทั้ง 4 ข้างด้วย เรียกว่า " จาตุรงคบาท " ซึ่งไม่ว่าช้างทรงจะไปทางไหน จาตุรงคบาทต้องตามไปคุ้มกันด้วย หากตามไม่ทันจะมีโทษถึงชีวิต
โดยมากแล้ว ผลแพ้ - ชนะของการทำยุทธหัตถีจะขึ้นอยู่กับขนาดของช้าง ช้างที่ตัวใหญ่กว่าจะสามารถข่มขวัญช้างที่ตัวเล็กกว่า เมื่อช้างที่ตัวเล็กกว่าหนีหรือหันท้ายให้ หรือช้างตัวใดที่สามารถงัดช้างอีกตัวให้ลอยขึ้นได้ จะเปิดจุดอ่อนให้โจมตีได้ตรง ๆ การฟันด้วยของ้าวเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้ถึงชีวิตได้ โดยร่างอาจขาดหรือเกือบขาดเป็นสองท่อนได้ เรียกว่า "! ขาดสะพายแล่ง "
การกระทำยุทธหัตถีในประวัติศาสตร์ไทยที่เลืองลือ ปรากฏทั้งหมด 4 ครั้ง คือ
1. การชนช้างระหว่างพ่อขุนรามคำแหงมหาราชกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด พ่อขุนรามคำแหงชนะ
2. การชนช้างที่สะพานป่าถ่าน ระหว่างเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยา เพื่อชิงราชสมบัติ ปรากฏว่าสิ้นพระชนม์ทั้งคู่
3. ยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระสุริโยทัยกับพระเจ้าแปร ในปี พ.ศ. 2091 ที่ทุ่งมะขามหย่อง อยุธยา สมเด็จพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์ขาดคอช้าง
4. ยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชามังสามเกียด ในปี พ.ศ. 2135 ที่หนองสาหร่าย สุพรรณบุรี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ชัยชนะ
ในต่างประเทศ มีกษัตริย์นักรบหลายพระองค์ที่ใช้ช้างในสงครามและกระทำยุทธหัตถี เช่น พระเจ้าเปารยะ แห่งอินเดีย ที่ใช้กองทัพช้างสู้กับกองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราช ในพม่า พระเจ้าบุเรงนองและพระเจ้านันทบุเรงต่างก็เคยกระทำยุทธหัตถีและได้รับชัยชนะมาแล้วอย่างงดงามทั้ง 2 พระองค์
2007年6月15日金曜日
ท่ากายี ท่าน้ำทำเลค้าขาย อยู่ทางด้านตะวันตกของกรุงศรีอยุธยา เป็นที่พวกแขกเทศชาวเปอร์เซียตั้งบ้านเรือนอยู่ เรียกในสมัยนั้นว่า กาญี
คำนี้เป็นศัพท์เปอร์เซีย คงจะเพี้ยนมาจากคำ อากอ (Aqa) ซึ่งแปลว่า หัวหน้า ส่วน ยี (ตามอักษรเทียบเป็น ญี) นั้น เติมเข้าเพื่อแสดงคารวะ เช่น ครับ หรือใต้ท้าว คำนี้ยังเป็นนามสกุล อากายี ของพวกเจ้าเซ็นตระกูลหนึ่ง
2007年6月14日木曜日
พระเจ้าอาเธอร์ (King Arthur) กษัตริย์อังกฤษผู้โด่งดังเป็นตำนานเล่าขานสืบต่อจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าอาเธอร์เป็นบุคคลที่นักประวัติศาสตร์ไม่ยืนยันว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ เพราะเรื่องราวของพระองค์เป็นตำนานและวรรณกรรมเล่าขานถึงอภินิหารต่าง ๆ (Popular History) มากกว่าจะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์จริง ๆ
ยุคสมัยของพระองค์เป็นยุคของประวัติศาสตร์อังกฤษตอนต้นราวศตวรรษที่ 5 พระเจ้าอาเธอร์กำเนิดเป็นสามัญชนธรรมดา เป็นเด็กเลี้ยงม้า แต่มีบุญบารมีสามารถดึงดาบวิเศษเล่มหนึ่งที่ปักอยู่ในหินออกมาได้ (Excalibur) ที่ใครสามารถดึงออกมาได้จะได้เป็นกษัตริย์ (บ้างก็เล่าว่าดาบในหินนี้เป็นของกษัตริย์แม็กนัส แม็กซิมัส ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า ดาบแห่งอังกฤษ (Sword of Britain) ) แต่บาง�! �ำนานก็เล่าว่าพระองค์ได้ดาบนี้มาจากเทพธิดาแห่งทะเลสาบ
พระเจ้าอาเธอร์ มีอัศวินล้อมรอบมากมาย นับกว่า 150 นาย ที่เรียกว่า " อัศวินโต๊ะกลม " (The Knights of the Round Table) เนื่องจากการประชุมอัศวินและขุนนางจะใช้โต๊ะกลมตัวใหญ่เป็นที่ประชุม โดยให้เกียรติแก่ทุกผู้เท่าเทียมกัน โดยอัศวินที่มีชื่อเสียง เช่น เซอร์ลาสล๊อต เซอร์กัลลาเเฮน เป็นต้น มีพ่อมดเมอร์ลิน เป็นที่ปรึกษาและจอมขมังเวย์ข้างกาย มีพระราชวังของพระองค์ที่ชื่อ อวาลอ�! � (Avalon)
พระเจ้าอาเธอร์ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของกษัตริย์ผู้ทรงธรรมและกล้าหาญ (Kingship) และเป็นต้นแบบของเหล่าอัศวินในเวลาต่อมา
2007年6月12日火曜日
2007年6月11日月曜日
ตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ต (เยอรมัน: FWB® Frankfurter Wertpapierbörse ; อังกฤษ: Frankfurt Stock Exchange) เป็นตลาดหลักทรัพย์ในเมืองแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี มี Deutsche Börse เป็นเจ้าของและดำเนินการ โดยบริษัทนี้เป็นเจ้าของบริษัทเคลียริ่ง Clearstream ด้วย
ตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ตเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในแปดแห่งของประเทศเยอรมนี และเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย
2007年6月10日日曜日
กิมจิ (김치, 김치, , MC: Gimchi, , MR: Kimch'i ) (อักษรละติน: Kimchi) มีข้อสันนิษฐานกันว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า "ชิมเช" (อักษรฮันกุล 침채; อักษรฮันจา: 沈菜; chim-chae) ที่แปลว่าผักดองเค็ม กิมจิเป็นอาหารเกาหลีประเภทผักดองที่อาศัยภูมิปัญญาก้นครัวของชาวเกาหลี ด้วยการหมักพริกสีแดงและผักต่างๆ โดยทั่วไปจะเป็นผักกาดขาว ชาวเกาหลีนิยมรับประทานกิมจิเกือบทุกมื้อ และยังนำไปปรุงเป็นส่วนประกอบอาหาร�! �ีกหลายอย่าง เช่น ข้าวต้ม ข้าวสวย ซุป ข้าวผัด สตู บะหมี่ จนถึงพิซซาและเบอร์เกอร์ ปัจจุบันกิมจิมีมากกว่า 187 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีรสเผ็ด เปรี้ยว และมีกลิ่นฉุน แม้ปัจจุบันมีบริษัทอาหารผลิตกิมจิสำเร็จรูปหรือแบบสดขายตามห้างสรรพสินค้าก็ตาม แต่ชาวเกาหลีก็ยังนิยมทำกิมจิกินเองที่บ้าน
สารบัญ
จุดเริ่มต้นของกิมจิ
เป็นที่เชื่อกันว่าการทำกิมจิเป็นการดองผักที่ถือกำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 7 ในยุคนั้นช่วงฤดูหนาวในประเทศเกาหลี จะมีอากาศหนาวจัดไม่เหมาะกับการเพาะปลูก ชาวเกาหลีจึงคิดวิธีการถนอมอาหารขึ้น เพื่อมาทดแทนผักสดที่หาได้ยาก หนึ่งในนั้นคือการทำผักดองเค็มด้วยเกลือหมักในไหแล้วนำไปฝังดิน จึงเป็นจุดกำเนิดของกิมจิในยุดสมัยต่อมา
กิมจิในสมัยอาณาจักรโคเรียว
มีการค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับกิมจิิจากตำรายารักษาโรคทางภาคตะวันออกของประเทศที่เรียกว่า "ฮันยักกูกึบบัง" (Hanyakgugeupbang) ในตำรากล่าวถึงกิมจิอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกคือหัวผักกาดฝานเป็นแผ่นดองด้วยซอสถั่วเหลืองเรียกว่า "กิมจิ-จางอาจิ" (Kimchi-jangajji) ชนิดที่สองใช้หัวไชโป๊เรียกว่า "ซุมมู โซกึมชอลรี" (Summu Sogeumjeori) เป็นที่เชื่้อกันว่าได้มีการปรับปรุงรสชาติของกิมจิให้จัดจ้านขึ้น อีก�! ��ั้งเริ่มได้รับความนิยมว่าเป็นอาหารแปรรูปจึงเริ่มมีการทำกิมจิตลอดทั้งปีโดยไม่กำจัดเฉพาะช่วงฤดูหนาวเหมือนก่อน ทั้งสองอย่างนี้เกิดขึ้นในสมัยอาณาจักรโคเรียวนี้
กิมจิในสมัยโชซอน
เล่ากันว่ากิมจิที่มีในสมัยโชซอน ชาวบ้านจะใช้ผักใบเขียวมาดองกับเกลือหรือเกลือกับเหล้าเท่านั้นซึ่งเรียกว่ารสดั้งเดิม ในเวลาต่อมาช่วงต้นศตวรรษที่ 17 (หลังจากที่ถูกญี่ปุ่นรุกรานในปี พ.ศ. 2135) จึงเริ่มมีการนำเข้าผักจากต่างประเทศ ส่วนพริกแดงจากญี่ปุ่นนำเข้ามาโดยพ่อค้าชาวโปรตุเกส พริกจึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมอย่างหนึ่งในกิมจิหลังจากผ่านไปแล้ว 200 ปี ด�! ��้งนั้นราวปลายสมัยราชวงศ์โชซอนสีของกิมจิจึงกลายเป็นสีแดง
ภายในราชสำนักโชซอนมีการทำกิมจิเพื่อใช้ถวายต่อกษัตริย์ในราชวงศ์โชซอนมีอยู่ด้วยกันสามชนิดได้แก่ "ชอทกุกจิ" (Jeotgukji) เป็นกิมจิที่ทำจากกะหล่ำปลีผสมกับปลาหมัก (ปลาหมักจะใช้เฉพาะคนชั้นสูงในสมัยนั้น) "คักดูกิ" (kkakdugi) เป็นกิมจิทำการหัวผักกาด ส่วนชนิดสุดท้ายคือ "โชซอน มูซางซานชิก โยรีเจบ็อบ" (Joseon massangsansik yorijebeop) เป็นกิมจิน้ำตำราอาหารของราชสำนักโชซอน โดยมีเรื่องเล่ากั�! ��ว่ามีการทำกิมจิน้ำโดยมีลูกแพร์เป็นส่วนผสมใช้ทำก๋วยเตี๋ยวเย็นโดยเฉพาะ เพื่อทำถวายกษัตริย์โกชอง (Gojong) กษัตริย์องค์รองสุดท้ายของโชซอน เพราะพระองค์ทรงโปรดก๋วยเตี๋ยวเย็นผสมในกิมจิน้ำพร้อมด้วยน้ำซุปเนื้อ
กิมจิในยุคปัจจุบัน
กิมจิเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวเกาหลีดังนั้นเวลามีการเดินทางในต่างแดนก็ไม่ลืมที่จะพกกิมจิติดตัวไปด้วย กิมจิจึงได้เริ่มแพร่หลายในวงกว้างโดยช่วงแรกเริ่มเข้าไปในประเทศใกล้เคียงก่อนคือประเทศจีน รัสเซีย เกาะฮาวาย และญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นชาติแรกที่นำกิมจิเป็นเครื่องเคียงในอาหารของชาติตนเองโดยเรียกกิมจิขอ�! �ตนเองว่า คิมุชิ (Kimuchi) เพื่อให้เข้ากับการออกเสียงในภาษาญี่ปุ่น และกิมจิชนิดนี้มีการเปลี่ยนแปลงรสชาติให้เข้ากับอาหารญี่ปุ่นมากขึ้น ต่อมากิมจิจึงเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆในหมู่ชาวต่างชาติในหลายประเทศ เช่นประเทศสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และไทย
ประวัติ
ตัวสัญลักษณ์กิมจิสร้างขึ้นโดย องค์กรการค้าเกษตรกรรมและการประมงประเทศเกาหลี (Korea Agro-Fisheries Trade Corporation) เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2543 เพื่อส่งเสริมกิมจิแท้จากประเทศเกาหลี และสร้างความแตกต่างระหว่างกิมจิเกาหลีและกิมจิญี่ปุ่น (Kimuchi) ให้ชัดเจนขึ้น ตัวสัญลักษณ์กิมจินี้พบได้เฉพาะกิมจิแท้ของประเทศเกาหลี ซึ่งต้องทำและผลิตจากวัตถุดิบในประเทศเกาหลีเท่านั้น โดยตัวสัญล�! ��กษณ์นี้เป็นเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในประเทศเกาหลี และอีกหลายเมืองหลายประเทศทั่วโลกได้แก่ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน ฝรั่งเศส สเปน สหราชอาณาจักร อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ เยอรมัน แคนาดา นิวซีแลนด์ ฮอลแลนด์ เปรู และประเทศไทย
ตัวสัญลักษณ์กิมจิ
วัตถุดิบในการทำกิมจิโดยทั่วไปแล้วจะเป็นผักกาดขาว (Chinese cabbage, 배추, baechu) หัวผักกาด (radish, 무, mu) กระเทียม (garlic, 마늘, maneul) พริกแดง (red pepper, 빨간고추, ppalgangochu) หัวหอมใหญ่ (spring onion, 파, pa) ปลาหมึก (squid, 오징어, ojingeo) กุ้ง (shrimp) หอยนางรม (oyster, 굴, gul) หรืออาหารทะเลอื่นๆ ขิง (ginger, 생강, saenggang) เกลือ (salt, 소금, sogeum) และน้ำตาล (sugar, 설탕, seoltang)
กิมจิมีมากมายหลายชนิดจากเอกสารของพิพิธภัณฑ์กิมจิในเมืองโซล (The Kimchi Field Museum in Seoul) กิมจิมีมากกว่า 187 ชนิดโดยจะแตกต่างกันตามถิ่นและสภาพอากาศ ตัวอย่างเช่นกิมจิหัวผักกาด (깍두기, kkakdugi) เป็นหัวผักกาดล้วนไม่มีผักกาดขาวผสม กิมจิแตงกวายัดไส้ (오이소배기,oisobaegi) และกิมจิผักกาดขาวที่ถือว่าเป็นกิมจิที่รู้จักกันมากที่สุดในนานาชาติ ซึ่งจะเป็นการผสมผักกาดขาว พริกแดง กระเทียม ขิง �! ��ละน้ำซุบจากปลากะตัก (젓갈, jeotgal) เข้าด้วยกันซึ่งผักกาดขาวควรจะเป็นผักกาดขาวจีน (Chinese cabbage) จึงจะได้กิมจิที่มีรสชาติดีและจัด หากทำจากผักกาดขาวชนิดอื่นจะทำให้กิมจิมีรสชาติที่อ่อนลง
กิมจิชนิดต่างๆ
กิมจิถูกจัดเป็นหนึ่งในห้าอาหารสุขภาพโดยเฮลท์แม็กกาซีน (Health Magazine) โดยให้เหตุผลว่ากิมจิอุดมด้วยวิตามิน ช่วยในการย่อยอาหาร และอาจจะช่วยรักษาโรคมะเร็ง สรรพคุณในกิมจิได้มาจากหลายปัจจัยเพราะ่ว่ากิมจิทำมาจากผักกาดขาว หัวหอม และกระเทียม ผักทั้งสามอย่างนี้ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ กิมจิยังมีโปรไบโอติกส์แลคโตแบซิลลัสที่ให้กรด! แลคติก (Lactic acid) หลังจากการหมักเหมือนในโยเกิร์ตด้วย อีกทั้งกิมจิมีพริกแดงเป็นส่วนผสมหลักซึ่งก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นกัน
สรรพคุณที่มีประโยชน์ของกิมจิอาจจะเป็นโทษได้เช่นกัน มีการศึกษาความเสี่ยงในการเิกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548 นักวิจัยชาวเกาหลีใต้เปิดเผยว่ามีความเสี่ยงถึงร้อยละ 50 ที่อาจจะเป็นเหตุให้เกิดมะเร็งในกระเพาะุถ้าบริโภคกิมจิมากเกินไป ดั่งอัตราการเป็นมะเร็งในกระเพาะของประชากรเกาหลี และญี่ปุ่นที่มีมากเป็นสองเท่าของประชากรในประ�! ��ทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามแป้งฝุ่น และสารระคายเคืองในข้าวขาวในทั้งสองประเทศอาจจะเป็นสาเหตุทางอ้อมในการเกิดมะเร็งก็เป็นได้ แต่ในการศึกษาบางชิ้นนั้น อ้างว่าการบริโภคกิมจิมีส่วนช่วยในการลดการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร แม้กระนั้นก็มีการศึกษาบางชิ้นอีกเช่นกันที่อ้างว่ากิมจิ(ที่มีส่วนผสมเป็นหัวผักกาด)จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง และการ! บริโภคกิมจิเป็นจำนวนมาก ก็จะเป็นได้รับเกลือหรือน้ำปลาที่ใช้ในการหมักและปรุงรสเป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพขึ้นได้เช่นโรคความดันโลหิตสูง
สุขภาพ
ประเทศเกาหลีใต้นั้นนำเข้ากิมจิมากกว่าการส่งออกไปต่างประเทศ โดยนำเข้าจากประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ ในพ.ศ. 2548 พบว่ากิมจิจากประเทศจีนนั้นมีไข่ปรสิตเจือปนอยู่ ด้วยเหตุนี้เองทางรัฐบาลเกาหลีใต้จึงได้มีการสั่งห้ามนำเข้ากิมจิจากประเทศจีน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีการพิสูจน์ว่ากิมจิจากประเทศเกาหลีใต้เองบางส่วนก็พบการเจือปนของไข่ปรสิตเช่นกัน
ปัญหาไข่ปรสิตในกิมจิ
ส่วนผสมสำหรับทำกิมจิพอสังเขป
ขั้นตอน
ผักกาดขาวปลีหรือผักกาดหางหงส์ 2 หัว
เกลือป่นสำหรับขยำผัก 5 ช้อนชา
เกลือป่นสำหรับปรุงรส 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
พริกป่นญี่ปุ่น 1 ช้อนโต๊ะ
ขิงแก่สับละเอียด 1/2 ช้อนชา
กระเทียมสับละเอียด 2 ช้อนชา
ต้นหอมซอยละเอียด 2 ต้น
แกะผักกาดขาวออกเป็นกาบๆ แช่นำไว้สักครู่ หั่นเป็นชิ้นขนาดพอคำ ขยำกับเกลือป่น แล้วพักทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง ล้างออกด้วยน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง บีบน้ำออกให้หมด
ใส่ผักลงในชามแก้วที่ลวกน้ำร้อนแล้ว ใส่ส่วนผสมที่เหลือทั้งหมดลงไป ใช้ทัพพีที่ลวกน้ำร้อนแล้วเช่นกันคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปิดฝาชามด้วยพลาสติกสำหรับคลุมอาหารให้สนิท หมักทิ้งไว้ 3 วัน แล้วจึงเก็บไว้ในตู้เย็นต่ออีก 1-2 วัน
2007年6月8日金曜日
ประวัติอำเภอเมืองนครสวรรค์
อ.เมืองนครสวรรค์ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2442 โดยหลวงสรรพากร ซึ่งเป็นนายอำเภอคนแรก ได้สร้างขึ้นที่ว่าการ
อำเภอที่ ต.บ้านเก่ง เรียกชื่ออำเภอว่า "อำเภอบ้านแก่ง" ปี พ.ศ.2477 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอ ต.ปากน้ำโพ จึง
เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "อำเภอปากน้ำโพ" เมื่อ พ.ศ.2482 ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอเป็นที่ตั้งศาลากลาง จึงเรียก
ว่า "อำเภอเมืองนครสวรรค์"
การปกครอง
2 เทศบาล (เทศบาลนครนครสวรรค์ และ เทศบาลตำบลหนองปลิง)
16 ตำบล 171 หมู่บ้าน 16 องค์การบริหารส่วนตำบล
พื้นที่ 748 ตารางกิโลเมตร
ประชากร 249,865 คน
ความหนาแน่น 326 คน ต่อ 1 ตารางกิโลเมตร
2007年6月7日木曜日
สาคู
ชื่ออื่นๆ Sago palm
ชื่อวิทยาศาสตร์ Metroxylon sagu
ชื่อวงศ์ PALMAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นปาล์มแตกหน่อ ขึ้นในที่ลุ่มน้ำขัง
ลำต้น ขนาด 30-40 เซนติเมตร สูงได้ถึง 20 เมตร
ใบ ใบแบบขนนก ทางใบยาว 4-5 เมตร
ดอก ช่อดอกออกที่ปลายยอด ช่อแผ่กระจายรูปสามเหลี่ยมสูง 3-4 เมตร ออกดอกครั้งเดียวแล้วต้นตาย
ผล ผลกลม ขนาด 4 เซนติเมตร เปลือกผลเป็นเกล็ดเรียงเกยซ้อนกัน ผลแก่สีน้ำตาลแกมเหลือง
ลักษณะทางนิเวศ พื้นที่ที่พบ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2007年6月6日水曜日
อายูมิ อิโต้ (「伊藤 歩」, Itō Ayumi, 伊藤 歩) เป็นนักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2523 ที่โตเกียว เริ่มเข้าสู่วงการแสดงในปี พ.ศ. 2536 โดยผลงานเรื่องแรกคือ Mizu no Tabibito -Samurai KIDS- และต่อมาในปี พ.ศ. 2539 ก็ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Swallowtail Butterfly ของผู้กำกับ ชุนจิ อิวาอิ ส่งผลให้เธอได้รับรางวัลเจแปนนีส อาคาเดมี อวอร์ดส สาขานักแสดงหน้าใหม่ กับ นักแสดงสมทบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม และกลายเป็น! นักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ปัจจุบัน อิโต้ มีผลงานการแสดงภาพยนตร์ ละครทีวี และโฆษณามาแล้วมากมาย นอกจากนี้ยังเคยมีงานเพลงในนามของวง มีน แมชีน (Mean Machine) รวมทั้งได้พากย์เสียงเป็น ทีฟา ล็อกฮาร์ท ใน ไฟนอลแฟนตาซี VII แอดเวนต์ชิลเดรน และเกม คิงดอมฮารตส์ II ด้วย
2007年6月5日火曜日
มรสุม เป็นการหมุนเวียนส่วนหนึ่งของลมที่พัดตามฤดูกาล คือลมประจำฤดู เป็นลมแน่ทิศและสม่ำเสมอ สาเหตุใหญ่ ๆ เกิดจากความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของพื้นดิน และพื้นน้ำในฤดูหนาวอุณหภูมิของพื้นดินเย็นกว่า อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทร อากาศเหนือพื้นน้ำจึงมีอุณหภูมิสูงกว่า และลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน อากาศเหนือทวีปซึ่งเย็นกว่าไหลไปแทนที่ ทำให้เกิดเป็นลมพั! ดออกจากทวีป พอถึงฤดูร้อนอุณหภูมิของดินภาคพื้นทวีปร้อนกว่าน้ำในมหาสมุทร เป็นเหตุให้เกิดลมพัดในทิศทางตรงข้าม ลมมรสุมที่มีกำลังแรงจัดที่สุดได้แก่ ลมมรสุมที่เกิดในบริเวณภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย
คำว่า "มรสุม" หรือ monsoon ในภาษาอังกฤษ มาจากคำว่า موسم [mausem] ในภาษาอารบิก แปลว่า ฤดูกาล
ประเทศไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุม 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย ระหว่างกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม โดยมีแหล่งกำเนิดจากบริเวณความกดอากาศสูง ในซีกโลกใต้บริเวณมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งพัดออกจากศูนย์กลางเป็นลมตะวันออกเฉียงใต้ และเปลี่ยนเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้เมื่อพัดข้ามเส้นศูนย์สูตร มรสุมนี้จะนำมวลอากาศชื้นจากมหาสมุทรอินเดียมาสู่ประเทศไทย ทำให้มีเมฆมากและฝนชุก�! ��ั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามบริเวณชายฝั่งทะเล และเทือกเขาด้านรับลมจะมีฝนมากกว่าบริเวณอื่น
หลังจากหมดอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้แล้ว ประมาณกลางเดือนตุลาคม จะมีมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศไทย จนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ มรสุมนี้มีแหล่งกำเนิดจากบริเวณความกดอากาศสูงบนซีกโลกเหนือ แถบประเทศมองโกเลียและจีน จึงพัดพาเอามวลอากาศเย็น และแห้งจากแหล่งกำเนิดเข้ามาปกคลุมประเทศไทย ทำให้ท้องฟ้าโปร่ง อากาศหนาวเย็นและแห้งแล้งทั่วไ�! � โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้จะมีฝนชุกโดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันออก เนื่องจากมรสุมนี้นำความชุ่มชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุม การเริ่มต้นและสิ้นสุดมรสุมทั้งสองชนิดอาจผันแปรไปจากปกติได้ในแต่ละปี
อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ตั้งอยู่ ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การสร้างอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" ทรงทำการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างแม่นยำในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ล่วงหน้า 2 ปี
2007年6月4日月曜日
2007年6月3日日曜日
เมลวิน มากราโม นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์ เกิดเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2514 สถิติการชก 58 ครั้ง ชนะ 36 (น็อค 20) เสมอ 2 แพ้ 20
เกียรติประวัติ
แชมป์ประเทศฟิลิปปินส์รุ่นฟลายเวท (17 ก.พ. 2539 - 14 ก.ค. 2544)
แชมป์เงารุ่นฟลายเวท WBO (2540 –2541)
ชิง, 5 กรกฎาคม 2540 ชนะน็อค ฤทธิชัย เกียรติประภัสร์ ยก 7 ที่ ฟิลิปปินส์
ป้องกันครั้งที่ 1, 14 กุมภาพันธ์ 2541 ชนะคะแนน พรชัย ศิษย์พระพรหม ที่ ฟิลิปปินส์
แชมป์ OPBF รุ่นฟลายเวท (2542)
ชิง, 15 พฤษภาคม 2542 ชนะน็อค คัตสุฮิโร่ อากิตะ ยก 10 ที่ ฟิลิปปินส์
เสียแชมป์, 23 พฤศจิกายน 2542 แพ้คะแนน ฮิโรชิ นากาโน่ ที่ ญี่ปุ่น
แชมป์ประเทศฟิลิปปินส์รุ่นฟลายเวท (8 ก.ย. 2544 - 22 เม.ย. 2545)
เคยชิงแชมป์ต่อไปนี้แต่ไม่สำเร็จ
ชิงแชมป์เงารุ่นซูเปอร์ฟลายเวท WBC, 26 มี.ค. 2538 แพ้น็อค วีรพล นครหลวงโปรโมชั่น ยก 9 ที่ จ.นนทบุรี
ชิงแชมป์ OPBF รุ่นฟลายเวท, 22 มิ.ย. 2539 แพ้คะแนน โชคชัย โชควิวัฒน์ ที่ พาต้าหัวหมาก
ชิงแชมป์ PABA รุ่นฟลายเวท, 28 พ.ย. 2539 แพ้คะแนน เด่นเก้าแสน เก้าวิชิต ที่ จ.สงขลา
ชิงแชมป์ PABA รุ่นฟลายเวท, 20 ก.พ. 2540 แพ้คะแนน เด่นเก้าแสน เก้าวิชิต ที่ จ.กาญจนบุรี
ชิงแชมป์ OPBF รุ่นฟลายเวท 3 พฤศจิกายน 2543 2000-11-03 แพ้น็อค ฮิโรชิ นากาโน่ ยก 10 ที่ ญี่ปุ่น
ชิงแชมป์ PABA รุ่นซูเปอร์ฟลายเวท, 30 เม.ย. 2544 แพ้คะแนน เมจิ ซีพียิม ที่ จ.นครสวรรค์
ชิงแชมป์ PABA รุ่นฟลายเวท, 10 ม.ค. 2546 แพ้น็อค คมฤทธิ์ 3เคแบตเตอรี่ ยก 5
2007年6月2日土曜日
ดังโงะโมโมทาโร่ (ญี่ปุ่น: 桃太郎印のきびだんご, โมโมทาโร่จิรุชิ โนะ คิบิดังโงะ) เป็นของวิเศษของโดราเอมอน ซึ่งปรากฏอยู่ในการ์ตูนเรื่อง โดราเอมอน มีลักษณะเป็นขนมคิบิดังโงะแบบเดียวกับขนมที่โมโมทาโร่แบ่งให้สัตว์สหายทั้งสามกินในนิทาน ประสิทธิภาพคือเมื่อสัตว์ได้กินเข้าไปแล้วจะเชื่องกับมนุษย์ทันที เหมาะที่จะให้พวกสัตว์ป่าดุร้ายกินเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงจะบอก�! ��่าเป็นขนมที่ทำให้สัตว์เชื่อง จริงๆแล้วมนุษย์ก็สามารถกินได้เหมือนกันเพราะไม่มีผลอะไรต่อร่างกาย จัดเป็น 1 ในของวิเศษที่โดราเอมอนใช้บ่อยมากไม่แพ้ คอปเตอร์ไม้ไผ่ หรือ ประตูทุกหนแห่ง เลย
2007年6月1日金曜日
เนื่องจากบทความนี้ถูกก่อกวนหลายครั้งติดต่อกัน การแก้ไขจากผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียน หรือผู้ใช้ใหม่ไม่สามารถทำได้ขณะนี้
คุณสามารถแสดงความเห็น เสนอข้อความ หรือขอให้ยกเลิกการป้องกันได้ในหน้าอภิปราย หรือลงทะเบียนโดยสร้างชื่อผู้ใช้
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และประธานมูลนิธิธรรมกาย เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2487 ณ คุ้งน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลบ้านแป้ง อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีโยมบิดาชื่อ จรรยง โยมมารดาชื่อ จุรี สุทธิผล
ขณะที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้มีโอกาสฟังการบรรยายธรรมจากวิทยากรท่านต่างๆ จนเกิดแรงบันดาลใจร่วมกับเพื่อนๆ ตั้งชุมนุมยุวพุทธขึ้น
พ.ศ. 2506 ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ ม. 6 กำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีโอกาสได้ศึกษาการปฏิบัติธรรมกับ แม่ชีอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ณ วัดปากน้ำภาษีเจริญ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
เมื่อเรียนจบปริญญาตรีสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์เกษตร จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ได้บรรพชาอุปสมบทอุทิศชีวิตเป็นพุทธบูชา (อธิษฐานจิตขอบวชตลอดชีวิต) ด้วยมโนปณิธานที่จะเผยแผ่พระพุทธสาสนาไปทั่วโลก เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2512 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 ณ พัทธสีมาวัดปากน้ำภาษีเจริญ โดยมีพระเทพวรเวที (ปัจจุบันคือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปาก�! �้ำ เขตภาษีเจริญ) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีฉายาว่า "ธัมมชโย" แปลว่า "ผู้ชนะโดยธรรม"
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 พระธัมมชโยและหมู่คณะรวมทั้งผู้มีจิตศรัทธาได้ช่วยกันพัฒนาผืนนา 196 ไร่ให้กลายเป็นสำนักสงฆ์ตามระเบียบการสร้างวัด ให้ชื่อว่า "ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม" เมื่อวันมาฆบูชา โดยมีเป้าหมายในการสร้างวัดไว้คือ "สร้างวัดให้เป็นวัด สร้างพระให้เป็นพระ สร้างคนให้เป็นคนดี"
เมื่อเวลาผ่านไปได้เปลี่ยนชื่อ "ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม" เป็น "วัดพระธรรมกาย" เมื่อ พ.ศ. 2524 ต่อมาได้ขยายงานการเผยแผ่ออกไปยังต่างประเทศแห่งแรกขึ้นที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2535 ปัจจุบันมีศูนย์สาขาในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป ทวีปแอฟริกา โอเชียเนีย และทวีปเอเชีย รวมทั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมในไทยกว่า 100 แห่ง
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้ส่งเสริมบทบาทของพระพุทธศาสนาให้กว้างขวางเป็นที่ยอมรับกันในระดับโลก โดยได้จัดตั้งมูลนิธิธรรมกาย ต่อมาได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกในปี พ.ศ. 2529 เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2529 และเข้าเป็นสมาชิกขององค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกในปี พ.ศ. 2533 เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับองค์กรต่างๆ ทั่�! �โลก
เพื่อการศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างเป็นระบบ พระราชภานาวิสุทธิ์จึงให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมกายแคลิฟอร์เนีย (Dhammakaya Open University) ขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำการสอนพระพุทธศาสนาแก่นักศึกษาทั่วโลก ด้วยระบบทางไกล ในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท มีทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
นอกจากนี้พระราชภาวนาวิสุทธิ์ยังดำริให้ทำพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ขึ้นตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2527 สำเร็จสมบูรณ์ออกเผยแพร่ไปทั่วโลกในปี พ.ศ. 2539
ในปี พ.ศ. 2549 ได้เกิดอุทกภัยขึ้นในหลายจังหวัดทางภาคกลางของไทยเป็นเวลานานหลายเดือน พระราชภาวนาวิสุทธิ์ จึงได้มอบหมายให้มูลนิธิธรรมกาย จัดเครื่องอุปโภคบริโภคไปช่วยเหลือตามวัดและชุมชนต่างๆ ในทุกจังหวัดที่ประสบภัยอย่างทั่วถึง เป็นเวลานานตลอดหลายเดือนจนกระทั่งน้ำลดลงสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้เมื่อเกิดภัยหนาวขึ้นในหลายจังหวัด พระราชภาวนาวิสุทธิ์ก็ไ�! ��้ส่งผู้แทนไปมอบเครื่องกันหนาวแก่ประชาชนในท้องที่ต่างๆ เช่นกัน
ทุกๆ วัน ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ 19.30 น.-22.00 น. พระราชภาวนาวิสุทธิ์ทำการลงเทศน์สอนธรรมะผ่านระบบอินเทอร์เน็ตและระบบโทรทัศน์เพื่อการศึกษาผ่านดาวเทียม ช่องดีเอ็มซี เป็นประจำ ในรายการสด ชื่อ รายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา โดยเนื้อหาการเทศน์สอนครอบคลุมกรณีศึกษาเรื่อง กฎแห่งกรรม (Case Study) ที่มีการประยุกต์นำภาพและเพลงมาประกอบการเทศน์สอน เพื่อทำให้ผู! ้ชมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เข้าใจเรื่องราวได้ง่าย สนุกสนาน ชวนให้ติดตาม นอกจากนี้ท่านยังดำริให้ ช่องดีเอ็มซีทำรายการเผยแผ่การศึกษาพระพุทธศาสนาตลอด 24 ชั่วโมง ถ่ายทอดผ่านดาวเทียม 7 ดวง ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ อาทิเช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาลาว ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ภาษาญี่ปุ่น และภาษาเขมร เป็นต้น โดยมีกลุ่มสาธุชนท�! �่วโลกฟังธรรมจากท่านจำนว นมาก ตั้งแต่เด็กอายุประมาณ 1 ปี จนถึงผู้สูงอายุวัย 106 ปี จากผลการศึกษาและวิจัยพบว่า รายการโทรทัศน์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดสิ่งดีๆขึ้นหลายอย่าง เช่น ทำให้มีการตื่นตัวศึกษาหาความรู้ในเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องบาปบุญคุณโทษ เรื่องความจริงของชีวิต เช่น เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน โลกหน้ามีจริงหรือไม่ ฯลฯ ซึ่งผู้ศึกษาได้นำความรู้ที่ได้รับจากรายการไปใช้เป็นแน�! ��ทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องต่อไป
วัดพระธรรมกาย เป็นวัดที่ได้รับการกล่าวถึงมากในอันดับต้นๆวัดหนึ่งของประเทศ เพราะในช่วงปีพ.ศ.๒๕๔๑-๒๕๔๓ ได้เกิดกรณีวิพากษ์จากบุคคลและสื่อมวลชนมากมายติดต่อกันทุกวันเป็นเวลาหลายปี ซึ่งได้มีผู้วิเคราะห์ว่า เพราะความเอาใจใส่ ทุ่มเท ในการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ของพระราชภาวนาวิสุทธิ์และหมู่คณะทีมงาน จึงทำให้วัดพระธรรมกายม�! �ผลงานการเผยแผ่อย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ เป็นที่ประจักษ์และยอมรับทั้งภายในและต่างประเทศ และเพราะการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจึงเป็นเหตุให้มีผู้ไม่หวังดีกระทำการโจมตี และใส่ความวัดพระธรรมกาย ตลอดถึงพระราชภาวนาวิสุทธิ์ และทีมงานในข้อหาต่างๆมากมายเป็นเวลาหลายปี แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป โดยผ่านขั้นตอนกระบวนการพิจารณาในชั้นศาล ที่ตัดสินคดีใ! ห้สื่อมวลหลายแห่งซึ่งเค� ��เขียนข่าวโจมตีวัด มีความผิดในคดีอาญาต่อข้อหากระทำการใส่ความพระราชภาวนาวิสุทธิ์ และมีผลให้สื่อมวลชนเหล่านั้นต้องลงประกาศตีพิมพ์ขอขมา[1] และชี้แจงความจริงให้สาธารณชนได้รับทราบ
ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๔๙ คดีของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้รับการพิจารณาให้ถอนคดีทั้งหมดออกจากสาระบบ โดยสำนักงานอัยการสูงสุดให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นการสร้างความสมานฉันท์และเนื่องจากพระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้นำเงินและที่ดินทั้งหมดมามอบให้แก่วัดพระธรรมกายแล้ว เป็นจำนวนเงินรวมมูลค่า 959,300,000 บาท( ทรัพย์สินทั้งหมดนี้ ท่านได้มาจากการถวายของคณะญาติโยมที่มุ่งถวายเป! ็นการส่วนตัวแก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ แต่ท่านก็นำมาถวายในพระพุทธศาสนาจนหมดเช่นกัน)
แม้ต่อมาในส่วนของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งถืออันเป็นองค์กรของรัฐและมีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา ได้มีการประกาศรับรองความบริสุทธิ์ของพระราชภาวนาวิสุทธิ์และวัดพระธรรมกายว่าพ้นมลทิลทั้งคดีทางโลกและทางธรรมไปแล้ว แต่ก็ยังมีบุคคลบางกลุ่มพยายามสร้างกระแสให้เกิดความสับสนขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกระทำการกล่าวหาแบบเลื่อนลอย�! ��่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์อีกว่า ยังมีพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ยังคงสงสัยในคำประกาศดังกล่าวว่า การที่มหาเถรสมาคมได้ส่งผู้แทนมาถวายคืนตำแหน่งเจ้าอาวาสให้แก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์นั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริงบุคคลเหล่านี้กลับเป็นเพียงกลุ่มคนจำนวนน้อยและมีอคติต่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์อยู่แล้วนั่นเอง
โดยกลุ่มบุคคลเหล่านี้พยายามอ้างว่า "เพราะตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกที่ทรงไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ระบุไว้ชัดเจนว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์มีพฤติกรรมยักยอกของสงฆ์ราคาเกิน 5 มาสกเป็นของส่วนตน เป็นผลให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์ต้องอาบัติ ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปในทันที" ซึ่งในข้ออ้างที่กล่าวมานี้ถือว่าเป็นข้อกล่าวอ�! ��างที่เลื่อนลอย เพราะจากพยานหลักฐานทางเอกสารและพยานบุคคล กลับพบว่าพระลิขิตนั้นไม่ได้ระบุชื่อของพระราชภาวนาวิสุทธิ์แต่อย่างเลย ที่สำคัญเอกสารที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นพระลิขิตก็ไม่เคยถูกส่งไปยังพระราชภาวนาวิสุทธิ์เลย อีกทั้งต่อมากลับพบว่าพระลิขิตเหล่านั้นได้กระทำขึ้นมาโดยกลุ่มบุคคลในห้องกระจกนั่นเอง ซึ่งจากวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญในการต! รวจสอบเอกสารพบว่าเป็นพร� ��ลิขิตปลอมที่ทำขึ้นโดยกลุ่มห้องกระจกทั้งหมด และการวิเคราห์นี้ได้ผลสอดคล้องกับข้อมุลที่มีบุคคลได้แจ้งความดำเนินคดีกับบุคลลหลายคนที่ได้แอบอ้างทำพระลิขิตปลอมขึ้นมา[2] แม้กลุ่มห้องกระจกและขบวนการทำลายชื่อเสียงพยายามสร้างกระแสผ่านสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และผ่านขั้นตอนการไต่สวนของศาลชั้นต้นเป็นเวลานานหลายปี ซึ่งเป็นเรื่องแปล�! �ที่เมื่อถึงเวลาสืบพยานฝ่ายที่กล่าวหากลับหลบเลี่ยงและให้การโดยอ้างพยานหลักฐานแบบเลื่อนลอยตลอด
แม้ว่าสำนักงานอัยการสูงสุดจะถอนคดีออกจากระบบในปีพ.ศ. ๒๕๔๙ แต่ก็ยังปรากฏมีบุคคลบางกลุ่มพยายามที่จะสร้างกระแสโจมตีต่อไป โดยมักจะกล่าวอ้างว่า "พระราชภาวนาวิสุทธิ์และพวกยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายมูล จ.พิจิตร แล้วโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และเงินจำนวน 29,877,000 บาท ไปซื้อ! ที่ดินเนื้อที่ 902 ไร่เศษ ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร และ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ แล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งจากข้อมูลที่แท้จริงปรากฏว่า เงินที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์นำไปซื้อที่ดินนั้นเป็นเงินส่วนตัวของพระราชภาวนาวิสุทธิ์เอง ซึ่งเมื่อท่านได้ที่ดินมาก็มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคือนายถาวร นำไปปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ต่อไป และที่�! �ำคัญที่ดินต่างๆที่ท่านซ ื้อมาก็ด้วยตั้งใจจะพัฒนาพื้นที่ต่างๆเหล่านั้นให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและใช้ในกิจการของพระพุทธศาสนาในอนาคตทั้งสิ้น ดังนั้นข้อกล่าวหาต่างๆดังกล่าวจึงเป็นกล่าวได้ว่าข้อมูลเท็จ ที่มุ่งหวังทำลายชื่อเสียงของพระราชภาวนาวิสุทธิ์นั่นเอง
ส่วนประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ
พระภิกษุ สามารถมีที่ดินส่วนตัวได้หรือไม่?
อันที่จริงแล้ว พระภิกษุมีที่ดินของตนเองได้ หากจะซื้อด้วยเงินทองของตนเอง โดยเงินของพระภิกษุ ที่ได้รับจากการถวายชนิดหนึ่ง คือ
การถวายปาฏิปุคคลิกทาน คือ ถวายส่วนตัวแก่พระภิกษุ ซึ่งผู้มีจิตศรัทธาต้องการ ซึ่งพระภิกษุนั้น เงินในส่วนนี้ ก็สามารถนำไปซื้อที่ดินได้ หรือรถ บ้าน ทรัพย์สินอย่างอื่นก็ได้ โดยมีกฎหมายรับรองสิทธิของพระภิกษุไว้เสียด้วย จัดเป็นทรัพย์สินของพระภิกษุ ไม่เป็นความผิดใด ๆ และไม่ถือว่า เป็นธรณีสงฆ์ ตามที่ข่าว หรือ สื่อต่างๆ แม้กระทั่ง รมว.ศึกษาธิการฯ หรือก�! ��รมาธิการการศาสนา พูดอีกด้วย เพราะในประมวลกฎหมายแพ่ง และพานิชย์
มาตรา 1623 "ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาระหว่างที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้น ถึงแก่มรณภาพ ให้ตกเป็นสมบัติของวัด ที่เป็น ภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้น จะได้จำหน่ายไปในระหว่างชีวิต หรือโดยพินัยกรรม
ไม่เพียงเท่านั้น ทรัพย์สินดังกล่าว ยังสามารถตกทอดเป็นมรดกของ บุตร ทายาท หรือ ผู้ที่พระภิกษุนั้น ระบุในพินัยกรรมได้อีกด้วย จะขาย ก็ยังได้ ตามกฎหมายแพ่ง
มาตรา 1624 "ทรัพย์สินใดที่เป็นของบุคคล ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ทรัพย์สินนั้น หาตกเป็นสนบัติของวัดไม่ และให้เป็นมรดก ตกทอด แก่ทายาท โดยธรรมของผู้นั้น หรือบุคคลนั้น จะจำหน่ายโดยประการใด ตามกฎหมายก็ได้"
ดังนั้น เมื่อมีกระแสกล่าวว่า เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มีความผิด ที่ซื้อที่ดิน ฯลฯ ส่วนตัว ไม่โอนเข้าเป็นสมบัติของวัด มีความผิด ตาม กฎหมาย จึงเป็นการโฆษณาข้อความอันเป็นเท็จ เข้าข่ายหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 3
มาตรา 126 "ผู้ใดใส่ความผู้อื่น ต่อบุคคลที่สาม ที่น่าจะทำให้ผู้นั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้น กระทำความผิดฐาน หมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน สองหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ"[3]
ประเด็นที่ว่า ขัดต่อพระธรรมวินัย
มีหลายๆท่านที่มุ่งกล่าวหาโจมตีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ มักจะชอบมั่วแอบอ้างเอาพระลิขิตขึ้นมานั้น เนื้อความในเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตที่ว่า "ไม่ยอมคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติ ปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด" นั้น ขัดต่อพระธรรมวินัย ซึ่งพระพุทธเจ้า ไม่เคยบ�! �ญญัติไว้เลยว่า พระภิกษุต้องยกสมบัติที่เกิดขึ้น ในขณะเป็นพระ ให้แก่วัด ใครไม่ทำต้องอาบัติปาราชิก เรื่องนี้มีเขียนอยู่ในหลักสูตร นักธรรมชั้นตรี ที่พระ บวชใหม่พรรษา ๑ ก็ต้องเรียนและรู้แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงภูมิความรู้อย่างยิ่ง จะเขียนออกมาเช่นนี้ มั่นใจว่า ผู้เขียน จะต้องไม่ใช่พระ น่าจะเป็นเพียงผู้รู้พระธรรมวินัยแบบง! ูๆ ปลาๆ จับแพะชนแกะเขียน� �ึ้นมา ปลอมเป็นของสมเด็จพระสังฆราชแน่นอน พระสังฆราช จะไปบิดเบือนพระไตรปิฎก เป็นกบฎต่อพระพุทธเจ้าได้อย่างไร[4]
ในการดำเนินงานในโครงการต่างๆของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หลายๆงานก็ต้องอาศัยทีมงานในการดำเนินงานที่เป็นประโยชน์ทางพระพุทธศาสนา และหลายๆครั้งเพื่อความคล่องตัวและสะดวกก็จำเป็นต้องอาศัยทีมงานแทนพระราชภาวนาวิสุทธิ์ในการจัดซื้อหรือดำเนินกิจกรรมต่างๆบนที่ดินในบางแปลง โดยการดำเนินการต่างๆเพื่อประโยชน์และความก้าวหน้าแก่พระพุทธศาสนา ทางพระราชภาว�! ��าวิสุทธิ์และทีมงานก็ได้ระมัดระวังและคำนึงถึงความถูกต้องแห่งกฎหมายและพระธรรมวินัยอย่างเคร่งคัดเสมอมา
พระราชภาวนาวิสุทธิ์เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายยังคงความเป็นพระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์สมบูรณ์ถูกต้องตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม และกฎหมายไทยทุกประการ อีกทั้งยังได้รับการยอมรับนับถือจากคณะสงฆ์ในประเทศไทย และในประเทศต่างๆทั้งนิกายเถรวาท มหายาน และวัชรยาน โดยล่าสุดในปีพ.ศ. ๒๕๔๙ องค์กรยุวพุทธสงฆ์โลก[5] หรือ WBSY (World Buddhist Sangha Youth) ซึ่งถือเป็นองค์การทางพระพุทธศาสนาใ�! �ระดับสากล ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ถวาย"รางวัลสันติภาพระดับจักรวาล" หรือ "Universal Peace Award" แด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ทั้งนี้ย่อมเป็นการยืนยันความเป็นพระแท้ผู้บริสุทธิ์และพระสงฆ์ผู้ทำคุณประโยชน์แก่ชาวพุทธ ชาวโลกอย่างมากมายของพระราชภาวนาวิสุทธิ์นั่นเอง
5 ธันวาคม พ.ศ. 2534 : หลวงพ่อธัมมชโยได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระสุธรรมยานเถร
5 ธันวาคม พ.ศ. 2537 : ได้รับการถวายปริญญาพุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
5 ธันวาคม พ.ศ. 2539 : พระสุธรรมยานเถร ได้รับพระราชทานพัดยศเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์
31 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 : องค์การอนามัยโลก ได้มอบถวายรางวัลงดบุหรี่โลก World No Tobacco Day Awards 2004ประจำปีพุทธศักราช 2547 แด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ จากผลงานการรณรงค์ให้เยาวชนและประชาชนเลิกสุราและบุหรี่
23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 : วุฒิสภา ถวายโล่เกียรติคุณแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) ในวันมาฆบูชา พุทธศักราช 2548 ท่ามกลางมหาสมาคมแห่งพุทธบริษัทสี่นับแสนคน ณ ลานมหาธรรมกายเจดีย์ สืบเนื่องจากพิธีไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตจากคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อเดือนธันวาคม 2547 ซึ่งวุฒิสภาและมูลนิธิธรรมกาย ร่วมกันจัดขึ้น ณ จ.ภูเก็ต และ จ.พังงา
22 เมษายน พ.ศ. 2548 : Mr. S.P. Varma เลขาธิการสมาคม Akhil Bharat Rachanatmak Samaj (All Indian Gandhian Worker Society หรือ ABRS) ได้มาถวายรางวัล "มหาตมคานธีเพื่อสันติภาพ (Mahatama Gandhi Peace Award)" สำหรับความทุ่มเทแรงกายแรงใจในการส่งเสริมสันติภาพ และการพัฒนาเยาวชน ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา
2-5 ธันวาคม พ.ศ. 2549 : การประชุมขององค์กรยุวสงฆ์โลก WBSY " มอบรางวัลผู้นำชาวพุทธ ที่มีผลงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาดีเด่นในระดับโลกหรือUniversal Peace Award ซึ่งเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงรางวัลเดียวเท่านั้น เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสที่พระพุทธศาสนาย่างเข้าสู่ปีพุทธศักราชที่ 2550 ผู้นำชาวพุทธจากประเทศต่างๆ มีความเห็นพ้องต้องกันว่า รางวัลอันทรงเกียรตินี้ ควรม�! ��บถวายแด่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ หลวงพ่อธัมมชโย ประธานมูลนิธิธรรมกาย แห่งประเทศไทย ซึ่งมีผลงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวพุทธทั่วโลกเป็นเวลานานกว่า 30 ปี และในโอกาสเดียวกันนี้ องค์กรยุวสงฆ์โลกได้มอบรางวัลพระธรรมทูตดีเด่นระดับโลก หรือ World Dhammaduta Award ถวายแด่ พระภาวนาวิริยคุณ หรือ หลวงพ่อทัตตชีโว วัดพระธรรมกาย ประเทศไทย
บุคคลสำคัญของไทย
การถวยรางวัลมหาตมะคานธีเพื่อสันติภาพ
ผลงานพระราชภาวนาวิสุทธิ์
จังหวัดสตูล เป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทย ทางชายฝั่งทะเลอันดามัน คำว่า "สตูล" มาจากคำภาษามลายูว่า "สโตย" แปลว่ากระท้อน ซึ่งเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่ชุกชุมในท้องที่นี้ โดยชื่อเมือง "นครสโตยมำบังสการา" (Negeri Setoi Mumbang Segara) นั้นหมายความว่า สตูล เมืองแห่งพระสมุทรเทวา ดังนั้น "ตราพระสมุทรเทวา" จึงกลายเป็นตราหรือสัญลักษณ์ของจังหวัดมาตราบเท่าทุกวันนี�! �
สารบัญ
จังหวัดสตูล เป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทย ทางชายฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งเป็นชายฝั่งทะเลทางด้านตะวันตกของประเทศไทย อยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 6 องศา 4 ลิบดา และ 7 องศา 2 ลิบดาเหนือและ เส้นแวงที่ 99 องศา 5 ลิบดา 100 องศา 3 ลิบดาตะวันออก อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 973 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 2,478.997 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,549,361 ไร่ เป็นลำดับที่ 63 ของประเทศ และล�! �ดับที่ 12 ของภาคใต้ รองลงมาคือ จังหวัดปัตตานีและจังหวัดภูเก็ต มีพื้นที่ติดต่อกับรัฐเปอร์ลิสประเทศมาเลเซีย ตลอดแนวชายแดนทางบก ยาวประมาณ 56 กิโลเมตร ติดต่อฝั่งอันดามันยาวประมาณ 144.8 กิโลเมตร เป็นพื้นที่เกาะประมาณ 88 เกาะ
หน่วยการปกครอง
พื้นที่จังหวัดสตูลทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกเป็นเนินเขาและภูเขาสลับซับซ้อน โดยมีเทือกเขาที่สำคัญแบ่งเขตประเทศไทย และประเทศมาเลเซีย คือ ภูเขาบรรทัดและภูเขาสันกาลาคีรี พื้นที่ของจังหวัดค่อยๆลาดเอียงลงสู่ทะเลด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ โดยยังมีภูเขาน้อยใหญ่อยู่กระจัดกระจายในตอนล่าง ภูเขาที่สำคัญ ได้แ่ก่ เขาจีน เขาบารัง เขาใหญ่ เขาทะนาน และเ�! ��าพญาวัง และมีที่ราบแคบๆขนานไปกับชายฝั่งทะเล ถัดจากที่ราบลงไปเป็นพื้นที่ป่าชายเลนน้ำเค็มขึ้นถึง อุดมไปด้วยป่าแสมและป่าโกงกางเป็นจังหวัดที่ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน คงมีแต่ลำน้ำสั้นๆ ต้นน้ำเกิดจากภูเขาทางทิศเหนือ และทิศตะวันออกของจังหวัด
ภูมิประเทศ
พื้นที่จังหวัดสตูลได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่พัดผ่านอ่าวไทย และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากมหาสมุทรอินเดีย ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้น มี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อนและฤดูฝน ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม ระหว่างปี 2543-2547 ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ประมาณ 2,318 มม. ตกชุกที่สุดในช่วงเดือนสิงหาค�! �-ตุลาคม อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 32.72 องศาเซลเซียส ต่ำสุดเฉลี่ย 23.51 อุณหภูมิสูงสุดวัดได้ 38.4 องศาเซลเซียสเมื่อเดือนมีนาคม 2545 และอุณหภูมิต่ำสุดวัดได้ 19.2 เมื่อเดือนสิงหาคม 2543 และ เดือนกุมภาพันธ์ 2545 สภาพภูมิอากาศจังหวัด สตูล แบ่งได้เป็น 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนเมษายน อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 21.6 - 39.5 องศาเซลเซียส ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึง�! ��ดือนธันวาคม อุณหภูมิอยู� ��ระหว่าง 21.9 - 38.8 องศาเซลเซียส
ภูมิอากาศ
อุทยานแห่งชาติตะรุเตา
อุทยานแห่งชาติทะเลบัน
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
น้ำตกโตนงาช้าง
สโมสรฟุตบอลสตูล
登録:
投稿 (Atom)